วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

"เที่ยวกัมพูชา ชมนางอัปสราที่นครวัด-นครธม" To Cambodia to see Apsara at Angkor Wat- Angkor Thom.


เมื่อโอกาส
มาถึงอีกครั้ง 
   

   

ครั้งหนึ่งฉันเคยปฏิเสธโอกาสการเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชามาแล้ว  แต่ในที่สุดเมื่อโอกาสนั้นเวียนมาถึงอีกครั้ง  ฉันจึงได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาจนได้  เหตุผลของการตัดสินใจในครั้งนี้นอกเหนือจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างสองประเทศแล้ว การเดินไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานและญาติมิตรกว่าร้อยชีวิตช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจได้ไม่น้อยทีเดียว 
 ถ้าไม่นับเวลาที่ต้องเสียไปกับการเดินทางจากนครสวรรค์ถึงชายแดนปอยเปตแล้ว  การเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา  ยังใกล้กว่าการเดินทางไปภาคเหนือหรือภาคใต้ของไทยเสียอีก  ถนนหนทางก็สะดวกสบาย  เรียกว่ารวดเดียวถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างราบรื่น  ภูมิประเทศสองข้างทางดูไม่แตกต่างจากเมืองไทยแต่อย่างใด  ทุ่งนาป่าละเมาะคล้ายๆภาคกลางของบ้านเรา  ภาพการเก็บเกี่ยวข้าวโดยใช้แรงงานคนมีให้เห็นตลอดการเดินทาง  ฝูงวัวควายก็พบเห็นได้ง่ายกว่าในเมืองไทย  บ้านเมืองดูสงบเงียบ  ผู้คนเบาบางชุมชนเมืองก็ดูเล็กๆ ร้านรวงเรียบง่ายไม่หรูหรานัก


  ล่องเรือโต้ลม.. ชมโตนเลสาบ
 



  จุดแรกที่ทัวร์พาคณะไปเยือนคือโตนเลสาบ(Tonle Sap)  ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย เกิดจากแม่น้ำโขงซึ่งทอดยาวตลอดสายประมาณ 500 กิโลเมตรจากนั้นไหลเข้าสู่เวียดนามลงสู่ทะเลจีนใต้ เชื่อกันว่าปลาบึกซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกว่ายทวนน้ำจากโตนเลสาบขึ้นสู่ประเทศไทย-ลาว ก่อนไปผสมพันธุ์ที่จีนซึ่งเป็นต้นแม่น้ำโขง
    ภาพของโตนเลสาบที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอยู่เบื้องหน้า  ดูแล้วคุ้นๆ คล้ายกับภาพพื้นที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ในเมืองไทยที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ โตนเลสาบอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญประมาณ100กิโลเมตร ฤดูน้ำหลากน้ำท่วมถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร มีความลึกถึง 10 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กำปงธม กำปงซะนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมเรียบ ในโตนเลสาปมีปลาชุกชุมกว่า 300 ชนิด และจำนวนไม่น้อยของปลาเหล่านี้ถูกจับมาขายในเมืองไทยเช่นกัน
                                                                           
   ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆโตนเลสาบเป็นชาวเวียดนามอพยพ  ยึดอาชีพประมงในการเลี้ยงชีพ
          จุดขายของโตนเลสาบนอกจากบ้านพัก ร้านอาหาร และร้านของฝากนักท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของนักท่องเทียวจนยากจะลืม  เห็นจะเป็นภาพวิถึชีวิตของชาวบ้านที่สร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำหรือแม้แต่ลอยน้ำ ขณะที่เรือนักท่องเที่ยวแล่นอยู่ในทะเลสาบจะเห็นเรือเล็กๆ ซึีงส่วนใหญ่ขับโดย  ผู้หญิงและมีเด็กเล็กๆนั่งมาด้วยเต็มลำเรือ มีโชว์เล็กๆน้อยๆให้นักท่องเที่ยวชม เช่นโชว์ของเด็กน้อยเอางูเหลือมมาพันคอ ภาพเด็กในกระละมังลอยน้ำ หรือแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกแดงๆตากแดดเปรี้ยงให้นักท่องเทียวถ่ายภาพ เชื่อว่าไม่มีใครดูภาพเหล่านี้ด้วยความชื่นชมสักเท่าไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบยื่นเงินให้เป็นสิ่งตอบแทน ตลอดเวลาที่นั่งในเรือไกด์จะคอยเตือนตลอดเวลาให้ระวังกระเป๋าหรือทรัพย์สินมีค่า เพราะเคยมีนักท่องเที่ยวบางคนเผลอเรอให้นักแสดงตัวน้อยฉกฉวยเอาทรัพย์สินไปต่อหน้าต่อตาจากนั้นผู้เป็นแม่ก็จะขับเรือหนีไปดื้อๆ อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเข้าใจบริบทชีวิตของผู้คนเหล่านี้ หลายๆคนก็ทำใจและให้อภัยได้กับเหตุการณ์เหล่านี้
อาทิตย์ลับฟ้า..ที่ปราสาทพนมบาแคง

     จากโตนเลสาบเราถูกเร่งให้ไปเข้าคิวทำบัตรเข้าชมปราสาทซึ่งต้องใช้บัตรแสดงแก่เจ้าหน้าที่ทุกแห่งนับจากนี้เป็นต้นไป จากนั้นต้องเดินแข่งกับเวลาขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ปราสาทพนมบาแคง ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆชื่อว่า ภูเขาพนมบาแคง มีความสูงประมาณ 70 เมตร ปราสาทบาแคงสร้างขึ้นในพ.ศ. 1450 - 1471 เป็นศาสนสถานแห่งแรกของเมืองพระนคร ทางขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกเป็นเขาสูงชัน ตัวปราสาทตั้งอยู่บนยอดเขา จึงเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม เท่าที่เห็นตัวปราสาททรุดโทรมลงมาก  แต่ยังมีความยิ่งใหญ่ เริ่มจากบันไดขึ้นสู่ปรางค์ประธานที่มีอยู่ 5 ชั้้น แต่ละชั้้นมีปรางค์เล็ก 12 ปราสาท รวม 5 ชั้น มี 60 ปราสาท ส่วนบนยอดมีปรางค์บริวารล้อมรอบปรางค์ประธานอีก 4 ปราสาท เสมือนเป็นการจำลองยอดเขาพระสุเมรุรวมทั้งหมดมี 89 ยอด

        เราขึ้นไปทันก่อนพระอาทิตย์ตกก็จริง แต่ไม่สามารถต่อคิวขึ้นไปบนยอดปราสาทได้ทันก่อนเวลาปิด จึงทำได้เพียงชมทิวทัศน์จากด้านล่างของปราสาท ซึ่งสามารถมองยอดปราสาทนครวัดผุดขึ้นกลางป่า และไกลออกไปยังเห็นบารายตะวันตกที่
ปรากฎอยู่ลิบ ๆ ถ้าได้ขึ้นไปบนยอดปราสาท จะสามารถชมวิวได้ 360 องศา เห็นตัวเมืองเสียมเรียบ เห็นยอดเขาพนมบกที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 14 กิโลเมตรและเทือกเขาพนมกุเลนทอดตัวเป็นแนวยาว
   
       ฉันบวกลบสิ่งที่ดีและไม่ดีในวันนี้้แล้ว สรุปว่ามีสิ่งที่ดีมากกว่า  จนมองข้ามเรื่องไม่ดีเล็กๆน้อยๆไปได้เลย  ถือว่าผ่านวันนี้ได้อย่างสวยงาม  เพราะ ... การเดินทางที่ปลอดภัย ที่พักสะดวกสบาย ได้กินอาหารอร่อยถูกปาก ชมการแสดงที่สวยงามโดยเฉพาะระบำอัปสรา สถานที่ท่องเทียวน่าประทับใจ  จะต้องการอะไรมากไปกว่านี้สำหรับเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
                                                " หน้าโรงแรมที่พักในเมืองเสียมเรียบ"
แดดสวยฟ้าใส..ที่ปราสาทบันทายศรี

  วันที่สองของการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา เริ่มที่การเข้าชมปราสาทบันทายศรีในช่วงเช้า เป็นเทวสถานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2510 โดยพราหมณ์นักปราชญ์ในราชสำนักในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เป็นเทวสถานขนาดเล็กๆสร้างบนเนินดินยกพื้นขึ้นเป็นฐานเตี้ยๆ เพื่อรองรับตัวปราสาทเท่านั้น แต่เนื่องจากมีความงดงามโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยลวดลายที่ถูกสลักอย่างปราณีตบรรจง มีความสวยงามอ่อนช้อยและละเอียดคมชัด เป็นการนำศิลปะในยุคเก่าหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบพระโค ศิลปะแบบบาแค็ง และศิลปะแบบเกาะแกร์มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ปราสาทบรรทายศรีจึงถูกจัดเป็นศิลปะสมัยหนึ่งโดยเฉพาะอยู่ในยุคราว พ.ศ. 1510-1550
    แสงแดดยามเช้าสาดส่องทั่วบริเวณตัวปราสาทที่สร้างด้วยหินทรายสีชมพูทั้งยอดปราสาทหอ        บรรณาลัย  เสาประดับ  ซุ้มประตู หน้าบัน  ทับหลัง แสงเงาที่ตกกระทบทำให้ภาพแกะสลักของเหล่าเทวดานางฟ้าดูงดงามมีมิติคมชัดยิ่งขึ้น  แม้แต่แผ่นอิฐรายทางเดิน และบึงน้ำเล็กๆ ยังสะท้อนเงาอย่างมีชีวิตชีวา ตามซุ้มประตูหรือช่องหน้าต่างบางมุมมีเด็กๆชาวกัมพูชามานั่งให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ ดูกลมกลืนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทได้อย่างลงตัว กลาย เป็นความงดงามที่มีเสน่ห์น่าประทับใจอย่างยิ่ง
                          

รากไม้ยักษ์ .. 
ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทตาพรหม   



    ออกจากปราสาทบันทายศรี ในช่วงบ่ายเราได้เยี่่ยมชมความมหัศจรรย์ของปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายมหายานและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระองค์ ปราสาทตาพรหมนี้ถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา 
             
 ปราสาทตาพรหมถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างอยู่กับธรรมชาตินานเกือบ 500 ปี หลังจากการค้นพบโดยชาวฝรั่งเศส และถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงของปราสาทที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ชอนไชรากเกาะกุมปราสาทไปทุกหนทุกแห่ง   บรรยากาศของปราสาทตาพรหมจึงดูลึกลับ สวยงาม แตกต่างไปจากปราสาทที่อื่นๆ ในกัมพูชา

    ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ชอนไชรากปกคลุมไปทั่วบริเวณปราสาทตาพรหมมีอยู่ 2 ชนิด ต้นที่่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รากของมันจะดูดน้ำใต้ดินทำให้ดูโป่งพอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคาเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก มีทั้งส่วนที่แห้งตายคาอยู่และส่วนที่ยังเขียวสดอยู่ บึงน้ำชุ่มชื้นและเหล่านกที่อาศัยอยู่ในบริเวณปราสาทตาพรหม  มีส่วนทำให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์  เอื้ออำนวยให้เมล็ดพันธุ์เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณ  รากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา ดูคล้ายหนวดปลาหมึกยักษ์เกาะกุมองค์ปราสาท ช่วยค้ำประคองและยึดตัวปราสาทให้แน่นหนามั่นคงยากที่จะพังทลายลงมาได้

   จากนี้ไปถ้าพูดถึงปราสาทตาพรหม  ฉันคงนึกออกทันทีว่าคือปราสาทที่ถูกปกคลุมรากไม้ขนาดใหญ่ยักษ์มหึมาเหล่านี้นี่เอง
 
นครธม.. ชมความยิ่งใหญ่ของเมืองพระนครหลวง
  นครธมมีความหมายว่าเมืองใหญ่ หรือเมืองพระนครหลวง นับจากสะพานสู่ซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าจะได้พบกับความยิ่งใหญ่อลังการของศิลาทรายสลักลอยตัว ด้านซ้ายเป็นเหล่าเทวดาฉุดตัวนาค ส่วนด้านขวาเป็นบรรดายักษ์กำลังฉุดดึงลำตัวพญานาคอยู่เช่นกัน  

   นครธมหรือเมืองพระนครหลวงสร้างขึ้นในปีพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะแบบบายน เป็นราชธานีแห่งใหม่ที่ย้ายมาจากนครยโศธรปุระที่มีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 อันเป็นพระราชดำริของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ประสงค์จะขยายอาณาจักรขอมให้ยิ่งใหญ่ขึ้น จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรขอมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์มากที่สุด เมืองพระนครหลวงมีคูเมืองล้อมรอบกว้างประมาณ 80 เมตร แต่ละด้านมีความยาวถึง 3 กิโลเมตรและมีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้านด้วยกัน มีพื้นที่มากถึง 9 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,625 ไร่ กำแพงแต่ละด้านก่อด้วยศิลาแลงสูง 7 เมตร ภายในนครธมประกอบด้วยพระราชวังและปราสาทต่างๆมากมาย 
   

รอยยิ้มแห่งเมตตาที่ปราสาทบายน
       ปราสาทบายนสร้างอยู่ในอาณาเขตของนครธม เป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นศิลปะแบบบายน ได้รับอิทธิพลความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธนิกายมหายาน และเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิมๆโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ล้วนแล้วแต่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ที่สืบทอดมากกว่า 415 ปี

      ลักษณะเด่นของปราสาทบายนคือสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อนๆ กันขึ้นเป็นรูปร่าง แม้จะเป็นปราสาทไม่ใหญ่โตเท่านครวัด แต่มีความแปลกและดูลี้ลับ ทุกปรางค์ปราสาทมีพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขนาดใหญ่ ผินพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศเพื่อคอยสอดส่องดูแลความทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข หากนับรวมกัน 54 ปรางค์ปราสาท ปรางค์ปราสาทละ 4 พระพักตร์ จะมีพระพักตร์รวมกันถึง 216 พระพักตร์ แต่ปัจจุบันได้สึกกร่อนพังทลายลงไปบ้างแล้ว ซึ่งไม่ว่าเราจะยืนอยู่ในส่วนใดของปราสาทแห่งนี้ก็จะสามารถมองเห็นพระพักตร์เหล่านี้ได้ทุกทิศทาง หรือมองในทางกลับกันไม่ว่าเราจะยืนอยู่ส่วนใดของปราสาท ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาที่จับจ้องอยู่รอบทิศไปได้  เพียงแต่พระพักตร์เหล่านี้ไม่ได้ดุดันหน้าสะพรึงกลัว หากแต่เป็นพระพักตร์ที่ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตากรุณาอย่างเปี่ยมล้น 

        รอบๆ ปรางค์ประธานประกอบด้วยระเบียงคต 2 ชั้น รูปทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า ชั้นนอกมีขนาดกว้าง 140 เมตร ยาว 160 เมตร ชั้นในมีขนาดกว้าง 70 เมตร ยาว 80 เมตร หน้าโคปุระทุกด้านมีภาพประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ทั้งสองข้างของบันได ปรางค์ประธานมีลักษณะเป็นทรงกรวยมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 25 เมตร และสูง 43 เมตร เหนือจากระดับพื้น ตัวปราสาทโดยรอบแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ประกอบระเบียงคตด้านนอก ชั้นระเบียงคตด้านใน และบนสุดเป็นชั้นของปรางค์ประธาน และปรางค์บริวารซึ่งทุกปรางค์จะมีภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผินพระพักตร์มองออกไปทั้งสี่ทิศทั้งสิ้น

     
    
  ทั้งระเบียงคตชชั้นนอก ผนังระเบียงคตชั้นใน ผนังด้านทิศตะวันออก ผนังด้านทิศใต้ ผนังด้านทิศเหนือล้วนแต่ประดับด้วยภาพสลักนูนต่ำ ทั้งภาพของนางอัปสรากำลังร่ายรำ ภาพขบวนทหารและแม่ทัพนายกอง ภาพสลักยุทธภูมิทางเรือของทัพขอมและทัพจาม ภาพสลักเล่าเรื่องในรั้วในวังของเหล่าพระราชวงศ์ ภาพในพระราชพิธีต่างๆ ตลอดจนภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านทั่วไป                                       
                         
            ฉันเคยเข้าใจผิดคิดว่านครวัด-นครธมคือสถานที่แห่งเดียวกัน 
เพิ่งเข้าใจอย่างถูกต้องว่าเป็นคนละแห่งกัน
ก็ต่อเมื่อได้ประจักษ์ถึงความความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ด้วยสายตาตัวเองในครั้งนี้เอง

สงบงามยามเย็น..  ที่ปราสาทนครวัด  
      ปราสาทนครวัด ก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1650 – 1693) จุดประสงค์เพื่อสร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ นครวัดไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังมีฐานะเป็นทั้งเมืองหลวงและศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสียเป็นส่วนใหญ่

  

          ส่วนนอกสุดของนครวัดกั้นด้วยคูเมืองขนาดใหญ่ ยาว 1.5 กิโลเมตร กว้าง 1.3 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 2 ตารางกิโลเมตร การวางผังของปราสาทที่ไม่เหมือนปราสาทอื่น สังเกตได้จากโคปุระทางทิศตะวันตกของกำแพงนอกสุดจะมีขนาดใหญ่ที่สุดและใหญ่กว่าโคปุระอีก 3 ทิศ
    ด้วยเพราะนครวัดสร้างขึ้นความคติความเชื่อของศาสนาฮินดู จึงมีสัญลักษณ์ต่างๆที่เป็นตัวแทนแห่งความเชื่อดังกล่าว คูเมืองหมายถึงมหาสมุทรที่ล้อมรอบโลก ในส่วนของปิรามิดปราสาทสร้างยกระดับขึ้นสูง 3 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยระเบียงคตเชื่อมติดกันล้อมรอบปราสาท หมายถึงเทือกเขาน้อยใหญ่ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่ประทับของเทพเจ้า และตัวปราสาทชั้นบนสุดหรือปรางค์ประธานหมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ การได้ขึ้นไปถึงปรางค์ประธานอันสูงชันก็เหมือนการจำลองการขึ้นเขาพระสุเมรุจริงๆ           



            นอกจากความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ของนครวัดแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งภายในปราสาทแห่งนี้ คือภาพสลักบนผนังด้านในของระเบียงคตชั้นล่างของตัวปราสาท  เรื่องราวส่วนใหญ่จะมาจากมหากาพย์และคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดู และเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้สร้างโดยสลักเป็นรูปกระบวนทัพของพระองค์ ภาพสลักที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ ภาพกองทัพชาวสยาม ซึ่งยังหาข้อสรุปแน่ชัดไม่ได้ว่าเป็นชาวสยามกลุ่มใด โดยมีลักษณะเด่นที่การแต่งกาย การเดินทัพที่ดูไม่เป็นแถว ไม่เป็นระเบียบ   
            ส่วนผนังด้านในระเบียงคตชั้นนอกสุดของตัวปราสาท มีพื้นที่รวมของภาพสลักยาวเกือบ 600 เมตร เนื้อหาของภาพส่วนใหญ่มาจากคัมภีร์พระเวท และมหากาพย์ของสาสนาฮินดู ภาพการรบที่ทุ่งกุรุเกษตรในมหาภารตะยุทธ  ภาพขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ภาพการตัดสินความคดีและความชั่วของพญายม ภาพการกวนเกษียรสมุทร และยังมีภาพอื่นๆอีกมากมายหลายร้อยภาพให้ได้ชมกัน
          
           ปราสาทนครวัดมีความยิ่งใหญ่สวยงามสมกับการได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลกจริงๆ ภาพปราสาทนครวัดที่สะท้อนเงาลงไปในบึงน้ำเบื้องหน้าปราสาท  เป็นภาพที่ฉันให้คะแนนความพึงพอใจเต็ม 100 สำหรับการถ่ายภาพของฉันในวันนี้

ส่งท้ายก่อนกลับบ้าน
       ความยิ่งใหญ่ของนครวัด-นครธม ยิ่งใหญ่เกินคำบรรยายจรืงๆ สิ่งที่ทำให้ปราสาทเก่าแก่เหล่านี้ดูสวยงามมีคุณค่ามากยิ่งข้น  ฉันยกให้กับต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากมาย ซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในเมืองนี้ ซากอิฐเก่าๆ แทรกอยู่ตามดงไม้ขนาดใหญ่ เป็นความกลมกลืนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลงตัวที่สุด
      ช่วงค่ำเราได้ไปนมัสการเจ้าเจ๊กเจ้าจอมซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวกัมพูชาและนักท่องเที่ยวทั่วไป  จากนั้นไปเที่ยวถนนคนเดินตลาดกลางคืนของเมืองเสียมเรียบ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมืองประเภทของฝากของที่ระลึก มีให้เลือกซื้อหาต่อรองราคาได้ตามอัธยาศัย ก่อนเดินทางกลับโรงแรมที่พักอันเป็นที่พำนักในคืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับบ้าน


    วันสุดท้ายในช่วงเช้า เราได้ไปชมทิวทัศน์และถ่ายภาพสวยๆที่บารายตะวันตก ต่อด้วยการไปเที่ยวตลาดพื้นเมืองชื่อว่าตลาดซาจ๊ะ เพื่อซื้อของฝากกันอีกรอบก่อนกลับบ้าน หลังจากนั้นนั่งรถยาวจากเสียมเรียบถึงปอยเปตแดนคาสิโนว์ ก่อนข้ามด่านสู่ฝั่งไทย แวะเที่ยวตลาดโรงเกลือก่อนนั่งรถยาวอีกครั้งสู่นครสวรรค์อย่างสวัสดิภาพ 


 

                   
   
        ฉันดีใจที่ไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะได้มาประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นฉันคงเสียดายและไม่สามารถลบทัศนคติที่ไม่ดีบางอย่างที่ติดอยู่ในใจออกไปได้
 ซัวซไดย      สวัสดี ...     กัมพูชา
 ออกุนเจริญ   ขอบคุณ ...  กัมพูชา
 เรียนซันเฮย  ลาก่อน ...   กัมพูชา

2 ความคิดเห็น:

  1. Bonjour,
    Votre blog est très joli avec de superbes photos d'un pays lointain que j'aimerais connaître un jour.
    Je vous souhaite une bonne journée.
    Amicalement.
    Maite
    http://le-blog-de-maite.over-blog.com/#

    ตอบลบ
  2. Hello Maite,
    Thanks for visit my blog and your nice comment. Glad you like it. Greetings from Thailand.

    ตอบลบ