วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

Art in paradise

Art in paradise เป็น พิพิธภัณฑ์ภาพจิตรกรรม 3 มิติ แห่งเดียวในไทยที่เมืองพัทยา ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสงานศิลปะ    ได้อย่างใกล้ชิด ถ่ายภาพกับภาพเขียนได้อิสระแปลกแหวกแนวกับศิลปะภาพวาดแบบ 3D เวลาถ่ายรูปออกมาเหมือนกับ 
ภาพเสมือนจริง
Art in Paradise  พิพิธภัณฑ์ภาพจิตรกรรม 3 มิติ
เลขที่ 78/34 หมู่ 9 ถ.พัทยา สาย 2 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี 20150 โทร.038 – 424500
ต่างชาติ ผู้ใหญ่ ราคา 500 บาท เด็ก 300 บาท (ส่วนสูงไม่เกิน 120 ซม.)
คนไทย ผู้ใหญ่ ราคา 150 บาท เด็ก 100 บาท (ส่วนสูงไม่เกิน 120 ซม.)
เปิดทุกวัน เวลา 09.00 - 21.00 น.(ไม่เว้นวันหยุดราชการ) 
ปิดขายบัตรเข้าชม เวลา 20.00 น




วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เชียงคาน... รักแล้วรักเลย "I love Chiang Khan"

และแล้วช่วงเวลาของศักราชใหม่ก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน  อะไรที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก็ยังไม่ได้ลงมือทำสักที  รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนขี้เกียจเวลาที่ต้องตอบคำถามจากคนรอบข้างว่างานไปถึงไหนแล้ว ระยะหลังๆจึงใช้วิธียิ้มเป็นคำตอบ  แทนการหาเหตุผลมาแก้ตัวให้เหนื่อยใจ


แต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนกลับได้ทำโดยบังเอิญ(อีกแล้ว) ครั้งนี้จุดหมายปลายทางคือเมืองเชียงคาน  จังหวัดเลย  เราขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สายๆหน่อยก็ได้แวะลิ้มรสขนมจีนแสนอร่อยที่หล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์จากนั้นชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่มุ่งสู่อำเภอด่านซ้ายเมืองเลย ตลอดเส้นทางรถของเราแทบจะเป็นพาหนะคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนนคดเคี้ยวลัดเลาะไประหว่างภูเขาสลับซับซ้อน ผิดหวังนิดๆ กับความแห้งแล้งของต้นไม้ใบหญ้าและพื้นที่ว่างเปล่าบนภูเขาหัวโล้นลูกแล้วลูกเล่า  บางช่วงได้เห็นดอกสีชมพูหวานของต้นพญาเสือโครงแซมอยู่เป็นระยะๆ พอให้ชื่นใจได้บ้าง
                          

แต่ที่สวยสุดๆ คือช่วงที่เส้นทางลดระดับความสูงลงจากภุเขาเห็นหมุ่บ้านเล็กๆซ่อนตัวอยุ่ในหุบเขาไกลลิบเบื้องหน้า
เราแวะพักเติมน้ำมันและยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าที่ปั้มปตท.อำเภอภูเรือ  นับเป็นปั้มที่มีทำเลที่ตั้งสวยงามอีกแห่งเหนึ่งทีเดียวเพราะด้านหลังมีเนินสวยเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตเล็กๆ ไกลออกไปมีเทือกเขาขนาดย่อมเป็นฉากหลังอีกชั้นหนึ่ง  อากาศเย็นสบายชวนให้นั่งพักผ่อนชมวิวยิ่งนัก 
ถึงอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย  เลี้ยวไปตามเส้นทางที่เขียนว่าสะพานมิตรภาพไทยลาว  ฝั่งไทยมีตลาดนัดพื้นเมืองดูคึกคัก  แต่ไม่ดึงดูดใจพอที่จะให้เราฝ่าเปลวแดดลงไปสำรวจได้  แต่ข้อมูลจากสาวเมืองท่าลี่ที่บอกถึงวิธีข้ามแดนผ่านไปยังฝั่งลาวมีผลให้สองสาวไทยนั่งรถข้ามสะพานแม่น้ำเหืองสู่ตลาดเล็กๆของเมืองลาวได้โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจนาน
 ตลาดชายแดนลาวเล็กเกินกว่าที่คิด  เป็นอาคารเล็กๆชั้นเดียวมีร้านค้าประมาณ  20  ร้าน  สิ้นค้าขึ้นชื่อคือไวน์องุ่นบรรจุขวดขนาดใหญ่ยักษ์   เหล้า บุรี และกาแฟมีเป็นปกติเหมือนตลาดชายแดนทั่วๆไป  ร้านขายของเล่นและร้านขายกระเป๋าหลากสไตล์จากเมืองจีนมีมากหน่อย  แต่ถ้าใครเคยเดินตลาดชายแดนแม่สายท่าขี้เหล็กมาแล้ว  อาจไม่อยากเดินตลาดที่นี่เพราะมันดูน้อยนิดแบบพอเพียงจริงๆ    แต่ข้อดีที่พบได้ที่นี่คือพ่อค้าแม่ค้าทุกร้านดูจริงใจใสซื่อและอัธยาศัยดีมากๆ บอกราคาสิ้นค้าย่อมเยาจนคนซื้อเกรงใจที่จะต่อรองราคา 
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้  แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัย   สามารถทักทายพูดคุยกับใครก็ได้เหมือนคนคุ้นเคย  นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้เวลาเดินทางไปต่างถิ่น...  คนท่าลี่น้ำใจงดงามเหมือนสายน้ำใสสะอาดของลำน้ำเหืองจริงๆ
 
เราขับรถย้อนเข้าสู่ตัวเมืองเลยเพื่อต่อขึ้นไปยังเมืองเชียงคาน  แทนการขับลัดเลาะไปตามริมฝั่งโขงตามความตั้งใจเดิม  ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงเมืองเชียงคาน  ยังอีกนานกว่าจะค่ำจึงขับเลยไม่ยังแก่งคุดคู้ซึ่งอยู่ห่างจากเชียงคานไปแค่ 3 กิโลเมตร  แม่น้ำโขงเหือดแห้งลงไปมากจึงเห็นเกาะแก่งผุดขึ้นกลางลำน้ำโขงสมชื่อแก่งคุดคู้  เห็นเนินทรายโผล่เป็นแนวยาวจากริมฝั่งไปถึงกลางลำน้ำ  มีร้านขายสิ้นค้าตั้งรียงรายอยู่ตรงนั้น และยังสามารถขับรถลงไปจอดได้อย่างสบาย   มองข้ามไปยังแผ่นดินประเทศเพื่อนบ้านเห็นป่าไม้เขียวคลึ้มสบายตา  เราใช้เวลาถ่ายภาพและเดินสำรวจสินค้าของฝากของที่ระลึกไม่นานนัก  จึงขับรถย้อนเข้ามายังเมืองเชียงคาน  หาร้านอาหารมือเย็นตามคำแนะนำของคนท้องถิ่น  จากนั้นหาที่จอดรถ  ซึ่งคนเชียงคานบอกว่าเราสารจอดรถที่ไหนก็ได้  ไม่ว่าริมถนน  ตรอกซอกซอยหรือวัดแถวๆนั้น  รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์  เพราะคนเมืองเชียงคานจะมีส่วนร่วมช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยของเมืองนี้เหมือนเป็นหน้าที่ของตนเอง
 จากถนนศรีเชียงคานซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง  จะมีซอยเล็กๆตัดคงไปยังริมแม่น้ำโขง  นับจาก ซอยซอย ไปเรื่อยๆ  ช่วงเย็นๆถึงยามค่ำคืนจะมีถนนคนเดินตลอดแนว แต่ช่วงที่มีร้านรวงขายของคึกคักมากที่สุดจะยู่ช่วงซอย 4  ถึงประมาณซอย 18  ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนเยอะมากเป็นพิเศษ
จุดเด่นของเชียงคานคือความเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม  บ้านเรือนสร้างด้วยไม้ตลอดสองฝั่งถนน  ส่วนใหญ่เปิดเป็นที่พักและร้านขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว  เราเดินชมสินค้าไปแวะถามหาที่พักไปด้วย  เกือบจะถอดใจเพราะที่พักที่ติดฝั่งโขงถูกจองล่วงหน้าจนเต็มหมด  แต่ยังโชคดีที่มีลูกค้ายกเลิกห้องพักของโรงแรมสุขสมบูรณ์  แต่ต้องจ่ายแพงเกินมาตรฐานห้องพักทั่วๆ ไปถึงสองสามเท่า  เพราะเป็นห้องติดฝั่งโขง ครั้นพอเข้าห้องพักแล้วจึงรู้ว่าตัดสินใจผิด  เพราะนอกหน้าต่างคือความมืดมิด  ไม่เห็นลำน้ำโขงสักนิด  ตื่นเช้ายิ่งผิดหวังหนักกว่าเดิม  เพราะมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแต่หมอกขาวโพลน  อย่าว่าแต่แม่น้ำโขงเลย  ริมตลิ่งอยู่ตรงไหนยังไม่เห็นเลย

 
 ลงมาข้างล่างเดินลัดเลาะไปตามทางที่เชื่อมตลอดแนวติดลำน้ำโขงมีหนุ่มสาวมาถ่ายรูปกันประปราย  เริ่มสายหน่อยจึงได้เห็นตัวเมืองเชียงคานชัดเจนขึ้น  เช้านี้เชียงคานดูเงียบสงบ  ผู้คนเริ่มกิจกรรมของวันใหม่ด้วยการตักบาตรในตอนเช้า  ผ่านช่วงเวลาอันเงียบสงบของกลางวันและเริ่มโลดแล่นคึกคักอีกครั้งกับแสงสีตระการตาในตอนค่ำ  เป็นภาพชีวิตง่ายงามที่ผู้มาเยือนประทับใจและกลับไปบอกเล่าปากต่อปาก  หรือจากสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทำให้วันนี้เชียงคานกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของนักท่องเที่ยว 

เชียงคานอาจเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ไม่น่าตื่นเต้นหรือแปลกใหม่สำหรับคนที่ผ่านการเดินทางมามากในชีวิต  แต่เชื่อว่าใครที่เคยมาเมืองเชียงคานแล้วจะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเก็บเรื่องราวดีๆของเมืองเล็กๆแห่งนี้ไว้ในความทรงจำอย่างแน่นอน

 เรื่องราวการเดินทางครั้งนี้น่าจะจบลงที่เมืองเชียงคาน  ถ้าเราไม่เดินทางลัดเลาะไปตามริมฝั่งโขง สู่อำเภอปากชม ดูจากแผนที่แล้วถ้าไปต่อจะเป็นอำเภอสังคม  ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ช่วงระหว่างเชียงคานถึงปากชมแม้ระยะทางไม่ไกล  แต่เราใช้เวลาเดินทางนานมาก  ด้วยสภาพถนนที่ไม่ดีนัก  แต่สาเหตุจริงๆ อยู่ที่ความสวยงามของทิวทัศน์ริมริมฝั่งโขงมากกว่า  สายหมอกบางๆปกคลุมไปทั่วลำน้ำ  เห็นแนวทิวเขาเลือนรางอยู่บนฝั่งลาวเป็นระยะๆ  บางช่วงเห็นหมู่บ้านเล็กๆ มีวัวควายเล็มหญ้าและแช่น้ำอยู่ริมฝั่งลิบๆ
เราพารถลัดเลาะริมฝั่งโขงไปเรื่อยๆจนพบป้ายจุดตรวจพรมแดนบ้านคกไผ่  แล้วก็ไม่ผิดหวังที่แวะเข้าไป  นอกจากได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังได้ภาพถ่ายสวยๆของฝั่งลาวมาอีกหลายช็อต ก่อนจากลาบ้านคกไผ่แวะร้านอาหารริมทางสั่งอาหารพื้นถิ่นเป็นมื้อเช้า  แล้วมุ่งสู่ปากชม  ที่นี่เองที่เราตัดสินใจยุติการไปต่อ  เพราะดูระยะทางและเวลาที่ใช้ไปแล้วเกรงว่าจะกลับมาทำงานในวันจันทร์ไม่ทัน  จากปากชมเราวกกลับมาเมืองเลยและใช้เส้นทางเดิมกลับถึงบ้านตอนตะวันตกดินพอดิบพอดี ......