แต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนกลับได้ทำโดยบังเอิญ(อีกแล้ว) ครั้งนี้จุดหมายปลายทางคือเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย เราขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สายๆหน่อยก็ได้แวะลิ้มรสขนมจีนแสนอร่อยที่หล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์จากนั้นชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่มุ่งสู่อำเภอด่านซ้ายเมืองเลย ตลอดเส้นทางรถของเราแทบจะเป็นพาหนะคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนนคดเคี้ยวลัดเลาะไประหว่างภูเขาสลับซับซ้อน ผิดหวังนิดๆ กับความแห้งแล้งของต้นไม้ใบหญ้าและพื้นที่ว่างเปล่าบนภูเขาหัวโล้นลูกแล้วลูกเล่า บางช่วงได้เห็นดอกสีชมพูหวานของต้นพญาเสือโครงแซมอยู่เป็นระยะๆ พอให้ชื่นใจได้บ้าง
แต่ที่สวยสุดๆ คือช่วงที่เส้นทางลดระดับความสูงลงจากภุเขาเห็นหมุ่บ้านเล็กๆซ่อนตัวอยุ่ในหุบเขาไกลลิบเบื้องหน้า
เราแวะพักเติมน้ำมันและยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าที่ปั้มปตท.อำเภอภูเรือ นับเป็นปั้มที่มีทำเลที่ตั้งสวยงามอีกแห่งเหนึ่งทีเดียวเพราะด้านหลังมีเนินสวยเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตเล็กๆ ไกลออกไปมีเทือกเขาขนาดย่อมเป็นฉากหลังอีกชั้นหนึ่ง อากาศเย็นสบายชวนให้นั่งพักผ่อนชมวิวยิ่งนัก
ถึงอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย เลี้ยวไปตามเส้นทางที่เขียนว่าสะพานมิตรภาพไทยลาว ฝั่งไทยมีตลาดนัดพื้นเมืองดูคึกคัก แต่ไม่ดึงดูดใจพอที่จะให้เราฝ่าเปลวแดดลงไปสำรวจได้ แต่ข้อมูลจากสาวเมืองท่าลี่ที่บอกถึงวิธีข้ามแดนผ่านไปยังฝั่งลาวมีผลให้สองสาวไทยนั่งรถข้ามสะพานแม่น้ำเหืองสู่ตลาดเล็กๆของเมืองลาวได้โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจนาน
ตลาดชายแดนลาวเล็กเกินกว่าที่คิด เป็นอาคารเล็กๆชั้นเดียวมีร้านค้าประมาณ 20 ร้าน สิ้นค้าขึ้นชื่อคือไวน์องุ่นบรรจุขวดขนาดใหญ่ยักษ์ เหล้า บุรี และกาแฟมีเป็นปกติเหมือนตลาดชายแดนทั่วๆไป ร้านขายของเล่นและร้านขายกระเป๋าหลากสไตล์จากเมืองจีนมีมากหน่อย แต่ถ้าใครเคยเดินตลาดชายแดนแม่สาย‑ท่าขี้เหล็กมาแล้ว อาจไม่อยากเดินตลาดที่นี่เพราะมันดูน้อยนิดแบบพอเพียงจริงๆ แต่ข้อดีที่พบได้ที่นี่คือพ่อค้าแม่ค้าทุกร้านดูจริงใจใสซื่อและอัธยาศัยดีมากๆ บอกราคาสิ้นค้าย่อมเยาจนคนซื้อเกรงใจที่จะต่อรองราคา
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัย สามารถทักทายพูดคุยกับใครก็ได้เหมือนคนคุ้นเคย นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้เวลาเดินทางไปต่างถิ่น... คนท่าลี่น้ำใจงดงามเหมือนสายน้ำใสสะอาดของลำน้ำเหืองจริงๆ
เราขับรถย้อนเข้าสู่ตัวเมืองเลยเพื่อต่อขึ้นไปยังเมืองเชียงคาน แทนการขับลัดเลาะไปตามริมฝั่งโขงตามความตั้งใจเดิม ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงเมืองเชียงคาน ยังอีกนานกว่าจะค่ำจึงขับเลยไม่ยังแก่งคุดคู้ซึ่งอยู่ห่างจากเชียงคานไปแค่ 3 กิโลเมตร แม่น้ำโขงเหือดแห้งลงไปมากจึงเห็นเกาะแก่งผุดขึ้นกลางลำน้ำโขงสมชื่อแก่งคุดคู้ เห็นเนินทรายโผล่เป็นแนวยาวจากริมฝั่งไปถึงกลางลำน้ำ มีร้านขายสิ้นค้าตั้งรียงรายอยู่ตรงนั้น และยังสามารถขับรถลงไปจอดได้อย่างสบาย มองข้ามไปยังแผ่นดินประเทศเพื่อนบ้านเห็นป่าไม้เขียวคลึ้มสบายตา เราใช้เวลาถ่ายภาพและเดินสำรวจสินค้าของฝากของที่ระลึกไม่นานนัก จึงขับรถย้อนเข้ามายังเมืองเชียงคาน หาร้านอาหารมือเย็นตามคำแนะนำของคนท้องถิ่น จากนั้นหาที่จอดรถ ซึ่งคนเชียงคานบอกว่าเราสารจอดรถที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าริมถนน ตรอกซอกซอยหรือวัดแถวๆนั้น รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนเมืองเชียงคานจะมีส่วนร่วมช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยของเมืองนี้เหมือนเป็นหน้าที่ของตนเอง จากถนนศรีเชียงคานซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง จะมีซอยเล็กๆตัดคงไปยังริมแม่น้ำโขง นับจาก ซอย1 ซอย 2 ไปเรื่อยๆ ช่วงเย็นๆถึงยามค่ำคืนจะมีถนนคนเดินตลอดแนว แต่ช่วงที่มีร้านรวงขายของคึกคักมากที่สุดจะยู่ช่วงซอย 4 ถึงประมาณซอย 18 ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนเยอะมากเป็นพิเศษ
จุดเด่นของเชียงคานคือความเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม บ้านเรือนสร้างด้วยไม้ตลอดสองฝั่งถนน ส่วนใหญ่เปิดเป็นที่พักและร้านขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว เราเดินชมสินค้าไปแวะถามหาที่พักไปด้วย เกือบจะถอดใจเพราะที่พักที่ติดฝั่งโขงถูกจองล่วงหน้าจนเต็มหมด แต่ยังโชคดีที่มีลูกค้ายกเลิกห้องพักของโรงแรมสุขสมบูรณ์ แต่ต้องจ่ายแพงเกินมาตรฐานห้องพักทั่วๆ ไปถึงสองสามเท่า เพราะเป็นห้องติดฝั่งโขง ครั้นพอเข้าห้องพักแล้วจึงรู้ว่าตัดสินใจผิด เพราะนอกหน้าต่างคือความมืดมิด ไม่เห็นลำน้ำโขงสักนิด ตื่นเช้ายิ่งผิดหวังหนักกว่าเดิม เพราะมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแต่หมอกขาวโพลน อย่าว่าแต่แม่น้ำโขงเลย ริมตลิ่งอยู่ตรงไหนยังไม่เห็นเลย
ลงมาข้างล่างเดินลัดเลาะไปตามทางที่เชื่อมตลอดแนวติดลำน้ำโขงมีหนุ่มสาวมาถ่ายรูปกันประปราย เริ่มสายหน่อยจึงได้เห็นตัวเมืองเชียงคานชัดเจนขึ้น เช้านี้เชียงคานดูเงียบสงบ ผู้คนเริ่มกิจกรรมของวันใหม่ด้วยการตักบาตรในตอนเช้า ผ่านช่วงเวลาอันเงียบสงบของกลางวันและเริ่มโลดแล่นคึกคักอีกครั้งกับแสงสีตระการตาในตอนค่ำ เป็นภาพชีวิตง่ายงามที่ผู้มาเยือนประทับใจและกลับไปบอกเล่าปากต่อปาก หรือจากสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทำให้วันนี้เชียงคานกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของนักท่องเที่ยว
เชียงคานอาจเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ไม่น่าตื่นเต้นหรือแปลกใหม่สำหรับคนที่ผ่านการเดินทางมามากในชีวิต แต่เชื่อว่าใครที่เคยมาเมืองเชียงคานแล้วจะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเก็บเรื่องราวดีๆของเมืองเล็กๆแห่งนี้ไว้ในความทรงจำอย่างแน่นอน
เรื่องราวการเดินทางครั้งนี้น่าจะจบลงที่เมืองเชียงคาน ถ้าเราไม่เดินทางลัดเลาะไปตามริมฝั่งโขง สู่อำเภอปากชม ดูจากแผนที่แล้วถ้าไปต่อจะเป็นอำเภอสังคม ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ช่วงระหว่างเชียงคานถึงปากชมแม้ระยะทางไม่ไกล แต่เราใช้เวลาเดินทางนานมาก ด้วยสภาพถนนที่ไม่ดีนัก แต่สาเหตุจริงๆ อยู่ที่ความสวยงามของทิวทัศน์ริมริมฝั่งโขงมากกว่า สายหมอกบางๆปกคลุมไปทั่วลำน้ำ เห็นแนวทิวเขาเลือนรางอยู่บนฝั่งลาวเป็นระยะๆ บางช่วงเห็นหมู่บ้านเล็กๆ มีวัวควายเล็มหญ้าและแช่น้ำอยู่ริมฝั่งลิบๆ
เราพารถลัดเลาะริมฝั่งโขงไปเรื่อยๆจนพบป้ายจุดตรวจพรมแดนบ้านคกไผ่ แล้วก็ไม่ผิดหวังที่แวะเข้าไป นอกจากได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังได้ภาพถ่ายสวยๆของฝั่งลาวมาอีกหลายช็อต ก่อนจากลาบ้านคกไผ่แวะร้านอาหารริมทางสั่งอาหารพื้นถิ่นเป็นมื้อเช้า แล้วมุ่งสู่ปากชม ที่นี่เองที่เราตัดสินใจยุติการไปต่อ เพราะดูระยะทางและเวลาที่ใช้ไปแล้วเกรงว่าจะกลับมาทำงานในวันจันทร์ไม่ทัน จากปากชมเราวกกลับมาเมืองเลยและใช้เส้นทางเดิมกลับถึงบ้านตอนตะวันตกดินพอดิบพอดี ......